๙๐ ปี ศาสตราจารย์ คุณหญิงนงเยาว์ ชัยเสรี
อธิการบดีผู้สร้างโรงพยาบาลธรรมศาสตร์
ศาสตราจารย์ คุณหญิงนงเยาว์ ชัยเสรี เกิดเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ เป็นธิดาคนที่ ๒ ของนายหวัง และนางน้อย อโณทัยวงศ์ พื้นเพเป็นคนกรุงเทพโดยกำเนิด สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. ๒๔๙๙ ด้วยเกียรตินิยมดีมาก สำเร็จปริญญาโททางด้านเศรษฐศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ และประกาศนียบัตรด้านการบริหารการเงิน จาก มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ศาสตราจารย์ คุณหญิงนงเยาว์ ได้เข้ารับราชการเป็นอาจารย์ประจำ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ได้ดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายบริหารสมัยที่ศาสตราจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ศาสตราจารย์ คุณหญิงนงเยาว์ได้รักษาการในตำแหน่งอธิการบดีหลังเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุดของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยได้ตั้งปณิธานไว้ว่า “จะไม่มีวันยอมให้ธรรมศาสตร์อยู่ในสภาพอย่างนี้ พวกเราต้องมาร่วมมือกันเพื่อสร้างมหาวิทยาลัยของเราขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง”
ในปีพ.ศ. ๒๕๒๕ ศาสตราจารย์ คุณหญิงนงเยาว์ ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และได้ผลักดันการพัฒนาธรรมศาสตร์ในสามเรื่อง ได้แก่
เรื่องที่หนึ่ง การขยายมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปศูนย์รังสิต ตามเป้าหมายที่ศาสตราจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้ตั้งไว้
เรื่องที่สอง การขยายจัดการเรียนการสอนในสาขาวิชา วิทยาศาสตร์สุขภาพ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและมนุษยศาสตร์ ทำให้ธรรมศาสตร์ผลิตบุคลากรครอบคลุมทุกสาขา เพื่อพัฒนาประเทศได้อย่างสมบูรณ์
เรื่องที่สาม การสร้างโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเปิดให้บริการในปี พ.ศ. ๒๕๓๐ และปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานการรักษาทัดเทียมกับโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ สามารถเป็นที่พึ่งทางด้านการสาธารณสุขของประชาชนในประเทศ
ในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ศาสตราจารย์ คุณหญิงนงเยาว์ ได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย
ศาสตราจารย์ คุณหญิงนงเยาว์ ชัยเสรี ถึงแก่อนิจกรรมโดยสงบ ณ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติเมื่อวันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๗ ในเวลาที่อายุของท่านย่างเข้าปีที่ ๙๐ เท่ากับการย่างเข้าสู่ปีที่ ๙๐ ของการสถาปนามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
โครงการออกแบบสวนอนุสรณ์ศาสตราจารย์ คุณหญิงนงเยาว์ ชัยเสรีตั้งอยู่บริเวณ ด้านหน้าอาคารศูนย์อุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เลขที่ 99 หมู่18 ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี 12120
พื้นที่ที่ทำการออกแบบมีขนาดประมาณ 100 ตารางเมตร เป็นพื้นที่ว่างตั้งอยู่ทางด้านซ้ายมือเมื่อหันหน้าเข้าสู่อาคารศูนย์อุบัติเหตุและฉุกเฉิน บริเวณนี้มีความสำคัญเนื่องจากเป็นทางเลี้ยวรถสำหรับรถพยาบาลฉุกเฉิน
ด้านข้างของพื้นที่ติดกับเส้นทางเดินเชื่อมระหว่างอาคารกิตติวัฒนาและอาคารดุลย์ โสภาคย์ เส้นทางนี้ถือเป็นเส้นทางหลักที่เชื่อมต่อระหว่างอาคารจอดรถและพื้นที่โรงพยาบาล ทำให้มีประชาชนผู้ใช้บริการสัญจรผ่านหลายพันคนต่อวัน
พื้นที่จึงมีทัศนวิสัยที่โดดเด่น สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนทั้งจากเส้นทางเดินเท้าหลักและเส้นทางรถยนต์
ด้านหลังของพื้นที่เป็นจุดจอดรถเวรเปลและบันไดหนีไฟ
สภาพปัจจุบันของพื้นที่เป็นสนามหญ้า ซึ่งประกอบด้วยพืชพรรณเดิม ดังนี้:
ไม้ยืนต้น: ต้นปาล์มขวดจำนวน 5 ต้น และต้นหมากเขียว
ไม้พุ่ม/ไม้คลุมดิน: ไม้พุ่มและไม้คลุมดินหลากหลายชนิด
ไม้กระถาง: ไม้กระถาง เช่น ต้นเฟื่องฟ้า ซึ่งกระจายอยู่ทั่วพื้นที่
เพื่ออำนวยความสะดวกในการก่อสร้างลานและจัดตั้งอนุสาวรีย์ เสนอให้ทำการรื้อถอนต้นปาล์มขวดจำนวน 3 ต้น ซึ่งตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางพื้นที่ และเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการก่อสร้าง ทั้งนี้พื้นที่ดังกล่าวมีแนวหลังคาทางเดินคลุมบริเวณด้านข้าง พร้อมระบบทางลาดระบายน้ำฝนลงสู่บ่อพักโดยรอบ ดังนั้นจึงควรดำเนินการปรับระดับพื้นที่ และจัดระเบียบระบบระบายน้ำให้เรียบร้อยก่อนเริ่มดำเนินการก่อสร้างหลักต่อไป
วัตถุประสงค์ของโครงการจัดทำสวนอนุสรณ์ศาสตราจารย์คุณหญิงนงเยาว์ ชัยเสรี
เพื่อเป็นการบันทึก และเผยแพร่ประวัติความเป็นมา ตลอดจนรำลึกถึงคุณงามความดี และเกียรติคุณของศาสตราจารย์คุณหญิงนงเยาว์ ชัยเสรี อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
เพื่อจัดให้เป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจที่สวยงาม ร่มรื่น รื่นรมย์ และกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน บุคลากร และผู้มาใช้บริการโรงพยาบาล
เพื่อสร้างจุดหมายตา (landmark) ที่มีเอกลักษณ์ สะท้อนอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัย และโรงพยาบาล อันจะเป็นจุดเด่นที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี
เพื่อส่งเสริมบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ การสร้างแรงบันดาลใจ และการปลูกฝังคุณค่าทางประวัติศาสตร์ให้กับนักศึกษา บุคลากร และสาธารณชน
เพื่อใช้เป็นพื้นที่จัดกิจกรรมสาธารณะหรือกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับการระลึกถึงบุคคลสำคัญ และการพัฒนาพื้นที่สำคัญภายในมหาวิทยาลัย
ลักษณะของรูปปั้น
การออกแบบรูปปั้นมุ่งสร้างบรรยากาศที่กลมกลืนกับธรรมชาติ สะท้อนความใกล้ชิดกับผู้คน ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและสัมผัสได้ง่าย เกิดความรู้สึกอบอุ่นเป็นกันเอง และไม่ห่างไกลจากชีวิตประจำวัน ผลงานประติมากรรมชิ้นนี้ออกแบบและรังสรรค์โดย อาจารย์วัชระ ประยูรคำ ประติมากรผู้มีชื่อเสียง โดยจะหล่อด้วยบรอนซ์ซึ่งมีความแข็งแรง คงทน เหมาะสมสำหรับการจัดวางกลางแจ้ง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เปิดโล่ง
แนวทางการออกแบบได้รับแรงบันดาลใจจากกรณีศึกษารูปปั้นเจ้าหญิงไดอาน่า ซึ่งตั้งอยู่ในสวนท่ามกลางธรรมชาติ รายล้อมด้วยพื้นที่ลาน ทางเดิน และบ่อน้ำ สร้างบรรยากาศที่งดงาม มีความกลมกลืน และเปิดกว้างสำหรับการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับงานประติมากรรม
บทความประวัติความเป็นมาของ ศาสตราจารย์ คุณหญิงนงเยาว์ ชัยเสรี ที่จะถูกจารึกลงบนแผ่นหินแกรนิต เพื่อบอกเล่าความเป็นมาและเกียรติประวัติอันทรงคุณค่าของท่าน
การนำเสนอแนวทางการออกแบบ 2 รูปแบบนี้ แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างความสมดุลระหว่าง ฟังก์ชันการใช้งาน (Functional Requirements) และ สุนทรียภาพ (Aesthetics) ในพื้นที่ที่มีความอ่อนไหว และข้อจำกัดสูงอย่างพื้นที่โรงพยาบาล โดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกันคือการยกระดับประติมากรรม และจัดระเบียบพื้นที่โดยรอบ
แนวคิดหลัก: เน้นความสมมาตร (Symmetry) ความ มั่นคง (Stability) และความเป็น ระเบียบแบบแผน (Order)
การประยุกต์ใช้: เหมาะสำหรับบริเวณที่ต้องการสื่อถึงความน่าเชื่อถือและความสง่างามของสถาบัน เช่น การใช้เส้นสายตรงในการจัดวางลาน แนวผนังที่ตั้งฉาก และการจัดวางพรรณพืชในรูปแบบที่เป็นระเบียบ (Geometric Planting)
ผลลัพธ์: ให้ความรู้สึกที่ น่าเคารพ และ ชัดเจน ในการใช้งาน เหมาะสำหรับพื้นที่ด้านหน้าอาคารที่ต้องการความเป็นทางการ
แนวคิดหลัก: เน้นความอ่อนโยน (Softness) ความเลื่อนไหล (Fluidity) และความกลมกลืนกับธรรมชาติ (Organic Integration)
การประยุกต์ใช้: ใช้รูปทรงโค้งมนสำหรับขอบลาน แนวขอบกระถางต้นไม้ และแนวบันได (เช่น บันไดทรงโค้ง) เพื่อลดความแข็งกระด้างของโครงสร้าง
ผลลัพธ์: สร้างบรรยากาศที่ ผ่อนคลาย และเป็นมิตร ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในบริบทของโรงพยาบาลที่ต้องการให้ผู้มาเยือนรู้สึกสบายใจ เหมาะสำหรับการสร้างพื้นที่พักผ่อนหรือพื้นที่บำบัดทางจิตใจ
การออกแบบทั้งสองรูปแบบให้ความสำคัญกับ แนวผนังด้านหลัง (Feature Wall) เพื่อแก้ไขปัญหาด้านทัศนียภาพ และการใช้งาน:
แก้ไขปัญหาการบดบัง: เนื่องจากพื้นที่ด้านหลังเป็น เส้นทางเดินบริการ และจุดวางเวรเปล ซึ่งมีความวุ่นวายและอาจบดบังประติมากรรมได้ง่าย การมีฉากหลังที่สูง และมั่นคงจึงทำหน้าที่เป็นฉากกั้นสายตา (Visual Screen) ที่มีประสิทธิภาพ
เน้นความโดดเด่น: ฉากหลังที่ออกแบบอย่างสวยงาม และใช้วัสดุที่ตัดกัน (เช่น หินแกรนิตสีขาว/ดำ) จะช่วยขับเน้น (Accentuate) ประติมากรรมให้โดดเด่น และแยกออกจากความวุ่นวายของพื้นที่ด้านหลังได้อย่างชัดเจน
กำหนดขอบเขต: ฉากหลังช่วยสร้างความเป็นระเบียบ และกำหนดขอบเขต (Define Boundary) ของลานด้านหน้าได้อย่างชัดเจน ทำให้พื้นที่ดูเป็นสัดส่วน และมีการใช้งานเฉพาะเจาะจง
การออกแบบลานให้มี 2 ระดับ เป็นการจัดการกับสภาพพื้นที่เดิมได้อย่างชาญฉลาด โดยคำนึงถึง การเข้าถึงที่เท่าเทียม (Equitable Access) เป็นสำคัญ
การยกระดับพื้นที่: การทำลาน 2 ระดับ โดยที่ลานระดับบนมีระดับ สอดคล้องกับแนวทางเดินด้านข้าง และ ทางลาดด้านหน้าอาคารศูนย์อุบัติเหตุและฉุกเฉิน ทำให้เกิด ความต่อเนื่องในการสัญจร สำหรับทุกคน
การเชื่อมต่อกับพื้นดินเดิม: แม้มีความต่างระดับของพื้นดินเดิมถึง 0.80 เมตร แต่การเชื่อมต่อด้วยบันไดเพียง 3 ขั้น แสดงว่ามีการปรับระดับพื้นดินอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้การเปลี่ยนระดับไม่รู้สึกกระทันหัน และยังคงดูเป็นส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์
ทางลาดสำหรับผู้พิการ: การที่ลานระดับบนสามารถเชื่อมต่อกับทางลาดได้โดยตรง ถือเป็นหลักการสำคัญของ Universal Design ที่รับรองว่ารถเข็นผู้พิการ (Wheelchairs) และผู้ที่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวสามารถเข้าถึงประติมากรรม และพื้นที่ลานได้อย่างสะดวกและเท่าเทียม (Accessible and Inclusive) โดยไม่ต้องใช้บันไดหลัก
เพิ่มเติมกระถางต้นไม้ และพื้นที่ปลูกพืชบริเวณด้านข้าง และด้านหลัง ให้เกิดความรู้สึกร่มรื่นเป็นธรรมชาติ โดยเลือกชนิดไม้ที่มีความสวยงาม ปลูกต้นจำปีที่เป็นต้นไม้มีคุณค่า และดอกหอม ไม้ดอกสีม่วง และไม้ใบสีสันสดใสต่าง ๆ
รูปแบบของการออกแบบบันได และองค์ประกอบในพื้นที่
บันไดถูกออกแบบเพื่อเชื่อมต่อระดับพื้นที่ด้านซ้ายจากแนวเส้นทางเดินที่มีหลังคาคลุมสู่ลานบริเวณระดับล่าง ก่อนจะเชื่อมต่อขึ้นไปยังลานระดับบน โดยพื้นที่ดังกล่าวยังสามารถเข้าถึงได้จากทางลาดด้านข้าง ซึ่งเชื่อมต่อกับเส้นทางรถยนต์ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้รถเข็น และผู้พิการให้สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้อย่างเท่าเทียม
ในการออกแบบยังได้เพิ่มเติมองค์ประกอบทางภูมิทัศน์ ได้แก่ การจัดวางกระถางต้นไม้ และก้อนหินทรงกลม เพื่อสร้างความกลมกลืนกับธรรมชาติ เสริมบรรยากาศให้เกิดความร่มรื่น อ่อนโยน และมีมิติทางศิลป์ภายในพื้นที่
ลักษณะทางกายภาพและวัสดุปูพื้น
พื้นที่ลานดาดแข็งมีขนาดรวมโดยประมาณ 88 ตารางเมตร (36+52 ตารางเมตร) สำหรับวัสดุปูพื้น ได้เลือกใช้กระเบื้องคอนกรีตผิวกรวดล้าง ซึ่งอยู่ในโทนสีเทา ประกอบด้วยสีเทาอ่อนและสีเทาเข้ม โดยมีการจัดวางสลับกันอย่างมีจังหวะ เพื่อสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อย และเน้นความแข็งแรงทนทานของวัสดุ การเลือกใช้โทนสีและลวดลายนี้ ยังช่วยสร้างบรรยากาศที่กลมกลืนเป็นธรรมชาติ มีความหลากหลาย และเพิ่มมิติความน่าสนใจให้กับพื้นที่ลานโดยรอบ
การพิจารณาจากผังในรูปแบบแรกพบว่ามีลักษณะที่เป็นทางการค่อนข้างสูง ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมโดยรอบเท่าที่ควร ดังนั้นจึงได้มีการปรับปรุงแนวคิดการออกแบบเป็นรูปแบบที่สอง ซึ่งเน้นการใช้เส้นโค้ง (Curve) เพื่อเสริมสร้างความรู้สึกที่อ่อนโยน และนุ่มนวล อันจะนำมาซึ่งความกลมกลืนกับบริบทของพื้นที่มากยิ่งขึ้น
แนวคิดการออกแบบทางเลือกที่ 2 เน้นการใช้รูปแบบเส้นโค้ง (Curve) ในการปรับแนวเส้นโครงของลาน และกำแพง เพื่อให้เกิดความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ และลดทอนความแข็งกระด้างของวัสดุ ก่อให้เกิดสัมผัสที่อ่อนโยนและนุ่มนวล
ลานระดับล่าง: ได้รับการออกแบบให้มีรูปทรงที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างเส้นโค้ง รูปสี่เหลี่ยม และวงกลม โดยมีการขยายพื้นที่ออกทางด้านข้างเชื่อมต่อไปยังทางเดิน และพื้นที่ลานระดับบนซึ่งเป็นที่ตั้งของงานประติมากรรม
กำแพงด้านหลัง: เลือกใช้รูปแบบครีบเฉียงซ้อนกันในแนวโค้ง เพื่อสร้างมิติ และความน่าสนใจ
ฐานประติมากรรม: ออกแบบเป็นรูปทรงคล้ายแคปซูลโค้ง และมีการเฉียงสอบขึ้นด้านบนอย่างประณีต
กระบะปลูกต้นไม้และเก้าอี้นั่ง: ใช้องค์ประกอบรูปทรงโค้งตามขอบกระบะ และออกแบบให้ลอยตัวขึ้นมา เพื่อสื่อถึงความรู้สึกที่เลื่อนไหลและเชื่อมโยงไปกับบริบทพื้นที่โดยรอบ
พื้นที่ถูกโอบล้อมด้วยพืชพรรณ และไม้ยืนต้นเดิม เช่น ต้นจำปี และต้นปาล์มหางกระรอก สำหรับไม้พุ่มได้รับการคัดเลือกให้เป็นพันธุ์ไม้ที่มีดอกส่งกลิ่นหอม เพื่อเสริมการรับรู้ทางประสาทสัมผัส (Sensory Perception) ของผู้ใช้งาน
การออกแบบทั้งหมดนี้มุ่งเน้นให้ผู้ที่เข้ามาใช้งานในพื้นที่จะได้รับประสบการณ์ของความอบอุ่น ผ่อนคลาย และสามารถใช้เป็นพื้นที่สำหรับการพักผ่อนได้อย่างแท้จริง
ทัศนียภาพแสดงแนวคิดการออกแบบได้คำนึงถึงการจัดวางตำแหน่งของงานประติมากรรมให้มีความสัมพันธ์ และสามารถเชื่อมต่อกับพื้นที่ข้างเคียงโดยรอบได้อย่างกลมกลืน โดยเฉพาะการเชื่อมต่อกับแนวทางเดินมีหลังคาคลุม และบริเวณด้านหน้าอาคารศูนย์อุบัติเหตุและฉุกเฉิน
ระดับพื้นลานประติมากรรม ได้รับการออกแบบให้อยู่ในระดับเดียวกับพื้นทางเดินมีหลังคาคลุม เพื่อความสะดวกในการสัญจร
แท่นฐานประติมากรรม จะมีการยกระดับพื้นผิวขึ้นอีกประมาณ 0.45 เมตร จากระดับพื้นลาน
การยกระดับนี้มีจุดประสงค์เพื่อปรับระดับความสูงของประติมากรรม ซึ่งถูกออกแบบให้มีสัดส่วนขนาดเท่าจริง (1:1) ให้มีความใกล้เคียงกับระดับสายตาของผู้ใช้งานที่ยืนอยู่ด้านข้าง เพื่อหลีกเลี่ยงการยืนค้ำหัวประติมากรรมที่นั่งอยู่ระดับต่ำกว่า
กำแพงด้านหลัง ถูกออกแบบให้เป็นป้ายกำแพงที่รวมองค์ประกอบเชิงสัญลักษณ์
ด้านหนึ่ง: มีการออกแบบโลโก้เพื่อแสดงสัญลักษณ์ครบรอบ 90 ปี ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมทั้งเลือกใช้ลายเซ็นของศาสตราจารย์ คุณหญิงนงเยาว์ ชัยเสรี เป็นองค์ประกอบประดับกำแพง
อีกด้านหนึ่ง: จัดทำประวัติและจารึกข้อความลงบนแผ่นหินแกรนิต เพื่อให้ผู้สนใจสามารถเข้าถึงและอ่านข้อมูลประวัติได้
การเพิ่มเติม กระถางต้นไม้ และพื้นที่ปลูกพืช บริเวณด้านข้างและด้านหลังของกำแพงฉากหลัง (Feature Wall) เป็นการเปลี่ยนพื้นที่แข็ง (Hardscape) ให้กลายเป็นพื้นที่อ่อน (Softscape) ที่ให้ความรู้สึกร่มรื่น เป็นธรรมชาติ (Lush and Natural) การเลือกใช้พรรณพืชที่มีคุณค่า และสีสันยังช่วยเสริมสุนทรียภาพ และสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายในบริบทของโรงพยาบาล
การจัดวางกระถาง หรือกระบะปลูกพืชทำหน้าที่กำหนดขอบเขต และยกระดับความสูงของพรรณพืช
วัสดุและสี: ควรเลือกใช้วัสดุที่มีความสอดคล้องกับงานโครงสร้างหลัก เช่น Marble Washed สีเทาอ่อน (ตามที่ระบุในรายละเอียดบันได) เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของวัสดุทั่วทั้งโครงการ
การจัดวาง:
ด้านข้าง: จัดวางกระบะปลูกพืชตามแนวขนานกับทางเดิน หรือกำแพงเพื่อนำสายตา และเป็นฉากกั้น (Screen) ที่นุ่มนวล
ด้านหลัง: ใช้กระบะที่มีความสูงพอเหมาะเพื่อเป็นฉากหลังสีเขียว ให้กับกำแพงหินแกรนิต โดยเฉพาะในบริเวณที่โลโก้ถูกแกะสลัก
การเลือกชนิดของไม้เน้นคุณสมบัติทางประสาทสัมผัส (Sensory Experience) ทั้งรูป รส และกลิ่น
คุณค่าเชิงสัญลักษณ์: ต้นจำปีเป็นไม้ที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรม และเป็นที่รู้จักในด้านกลิ่นหอม
ประโยชน์ในภูมิทัศน์: การปลูกต้นจำปีจะให้ ร่มเงา (Canopy) ในระยะยาว และที่สำคัญที่สุดคือ กลิ่นหอม ที่อบอวลในบรรยากาศ ซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศบำบัด (Therapeutic Atmosphere) และความผ่อนคลายในพื้นที่โรงพยาบาล
การจัดวาง: ควรปลูกในกระบะขนาดใหญ่หรือบริเวณพื้นที่ปลูกด้านข้างที่เข้าถึงแสงแดดได้ดี เพื่อให้สามารถเจริญเติบโตเต็มที่และออกดอกได้อย่างสม่ำเสมอ
การใช้สีม่วงในภูมิทัศน์มักสื่อถึง ความสงบ, ความภักดี, และ ความลึกซึ้ง ซึ่งเหมาะกับการสร้างความรู้สึกผ่อนคลายและมีสมาธิ
ไม้ใบที่มีสีสันจะช่วยเพิ่มความหลากหลายและมิติของพื้นผิว (Texture) ให้กับภูมิทัศน์ และยังดูแลรักษาง่ายกว่าไม้ดอกบางชนิด
ทางเลือกที่แนะนำ:
หนวดปลาหมึกแคระด่าง (Dwarf Schefflera Variegated): ไม้พุ่มใบด่างสีเขียว-ขาว/เหลือง ให้ความสว่างและผิวสัมผัสที่ละเอียด
หงส์ฟู่ / โกสน: ไม้ใบที่มีสีสันจัดจ้าน เช่น แดง ส้ม เหลือง ในใบเดียว ซึ่งสอดคล้องกับโทนสีประจำมหาวิทยาลัย (เหลือง-แดง)
บุษบาฮาวาย : สำหรับปลูกในบริเวณที่มีร่มเงา หรือเป็น พื้นคลุมดิน (Groundcover) ในกระบะ เพื่อให้เกิดความเขียวขจีอย่างต่อเนื่อง
การปลูกพืชหลายระดับ (Layered Planting) จะช่วยให้เกิดความร่มรื่นอย่างแท้จริง:
ชั้นบน (Canopy): ต้นจำปี (ไม้ใหญ่ให้ร่มเงา)
ชั้นกลาง (Shrubs/Mid-level): ไม้ดอกสีม่วง เช่น พุดซ้อน โกสน
ชั้นล่าง (Groundcover): ไม้ใบด่าง หรือเฟิร์นในกระถางและกระบะ เพื่อปกปิดผิวดินและเพิ่มความชื้น
การออกแบบนี้จะทำให้พื้นที่รอบกำแพงหินแกรนิตกลายเป็น โอเอซิสขนาดเล็ก (Mini-Oasis) ที่ไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ยังทำหน้าที่เป็น พื้นที่บำบัดทางจิตใจ (Healing Space) ให้กับผู้ใช้งานโรงพยาบาลอีกด้วย
บริเวณขอบกระบะปลูกต้นไม้และเก้าอี้นั่ง ได้เลือกใช้วัสดุตกแต่งเป็นเอสซีจี มาร์เบิ้ล ว๊อชต์ (SCG Marble Washed) ซึ่งมีลักษณะเป็นหินเกล็ดเล็กละเอียดในโทนสีขาวและสีเทา วัสดุนี้จะถูกนำมาฉาบผิวคอนกรีตหล่อให้มีความหนาประมาณ 1 เซนติเมตร เพื่อสร้างสัมผัสที่นุ่มนวล เรียบเนียนละเอียด และสามารถติดตั้งให้โค้งรับไปตามรูปทรงของกระบะที่ออกแบบเป็นเส้นโค้งได้อย่างสมบูรณ์
สำหรับไม้ยืนต้นหลักที่เลือกใช้คือ ต้นจำปี (Magnolia champaca) โดยกำหนดรายละเอียดคุณลักษณะ ดังนี้:
ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น: 3-4 นิ้ว
ความสูง: ประมาณ 3.00-4.00 เมตร
การเลือกใช้ต้นจำปีเนื่องจากมีดอกที่มีกลิ่นหอมแรง ซึ่งจะช่วยเสริมการรับรู้ทางประสาทสัมผัส และสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายให้กับพื้นที่ตามแนวคิดการออกแบบ
สำหรับไม้พุ่มที่มีกลิ่นหอม ได้แก่ ต้นแก้ว (Murraya paniculata):
ขนาดความสูง: 1.50-2.00 เมตร
คุณสมบัติ: เป็นไม้ดอกที่มีกลิ่นหอม โดยเฉพาะพันธุ์ ต้นแก้วพวงดวงใจ ซึ่งมีลักษณะออกดอกดกเต็มต้น
การเลือกใช้ต้นแก้วพวงดวงใจที่มีดอกหอมนี้จะช่วยเสริมมิติของการรับรู้ทางประสาทสัมผัส (Scent/Odor Perception) ให้แก่ผู้ใช้งานในพื้นที่ได้อย่างชัดเจน
นอกจากต้นแก้วแล้ว ไม้พุ่มชนิดอื่น ๆ ที่ได้รับคัดเลือกเพื่อเสริมกลิ่นหอมภายในพื้นที่ ได้แก่ พุดซ้อน พุดน้ำบุศย์ หอมเจ็ดชั้น สายน้ำผึ้ง และโมกด่าง ซึ่งให้ดอกที่มีกลิ่นหอมสร้างประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสที่อบอุ่น
นอกจากนี้ ยังมีการเลือกใช้ไม้พุ่มที่เน้นสีสันสดใส เพื่อให้เกิดความรู้สึกสดชื่น โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เช่น ชแมบทอง และ หงส์ฟู่
สำหรับไม้ดอกไม้ประดับในระดับพื้นล่าง ได้เลือกใช้พันธุ์ไม้ที่ชูช่อดอกในโทนสีขาว-ม่วง เพื่อให้สามารถมองเห็นความสวยงามได้อย่างชัดเจน และสร้างความโดดเด่นให้กับลาน ได้แก่ เดหลี แพงพวย ต้อยติ่งฝรั่ง แวววิเชียร และนีออน
โลโก้ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นสัญลักษณ์ที่เต็มไปด้วยความหมายเชิงประวัติศาสตร์และการเมือง โดยมี อาคารโดม (The Dome) แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญที่สุด การออกแบบโลโก้จะเน้นการใช้ สีเหลือง และแดง ซึ่งเป็นสีประจำมหาวิทยาลัย (บางครั้งสีเหลืองอาจถูกแทนด้วย สีทอง หรือ สีส้ม)
การออกแบบโลโก้ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีหลายรูปแบบ เพื่อตอบสนองต่อการใช้งานที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ตราสัญลักษณ์อย่างเป็นทางการที่ซับซ้อน ไปจนถึงโลโก้ที่เรียบง่าย และโมเดิร์น
ลักษณะ: เป็น ตราธรรมจักร ที่มีรายละเอียดสูง มีซี่ธรรมจักร 12 ซี่ ล้อมรอบ พานรัฐธรรมนูญ ที่อยู่ตรงกลาง
ตัวอักษร: มีการจารึกชื่อ "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" และ "THAMMASAT UNIVERSITY" ไว้ที่ขอบธรรมจักร
การใช้สี: เน้นการใช้ สีเหลืองทอง สำหรับธรรมจักร และ สีแดง สำหรับเส้นตัดและตัวอักษร (ตามหลักการ High Contrast)
บริบทของอาคารโดม: ในรูปแบบตราสัญลักษณ์หลัก อาคารโดมมักไม่ได้ปรากฏอยู่ แต่จะถูกใช้เป็น สัญลักษณ์คู่ขนาน (Parallel Symbol) หรือถูกนำไปใช้ในรูปแบบกราฟิกเฉพาะกิจของคณะ/กิจกรรม
ลักษณะ: เน้นการใช้ รูปทรงของอาคารโดม เป็นสัญลักษณ์หลักแบบ Minimalist
อาจใช้รูปทรงโดมเพียงอย่างเดียว หรือมีเพียงส่วนยอด และนาฬิกา
ในบางกรณี อาคารโดมถูกนำไปผนวกเข้ากับ ตัวอักษรย่อ "TU" หรือ "มธ." ในรูปแบบกราฟิกที่ทันสมัย
ตัวอักษร: ใช้ ชื่อเต็ม หรือ ตัวอักษรย่อ ในฟอนต์ที่อ่านง่าย และสอดคล้องกับยุคสมัย (เช่น ฟอนต์ Kittithada Pro ที่มีลักษณะโมเดิร์น) โดยอาจวางชื่อไว้ด้านล่าง หรือด้านข้างของรูปโดม
การใช้สี: ใช้ สีแดงและเหลือง/ทอง เป็นหลัก แต่มีการปรับโทนสีให้ดูร่วมสมัยมากขึ้น เช่นสีแดงเข้ม (Crimson) หรือ สีส้มออกแดง (ตามที่ผู้ใช้งานระบุ) และสีเหลืองอ่อน/ทอง เพื่อสร้างความแตกต่างที่ชัดเจน และมีมิติ
การเลือกใช้รูปทรงของอาคารโดมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ไม่เพียงแต่สื่อถึงสถานที่เท่านั้น แต่ยังสื่อถึงอุดมการณ์ประชาธิปไตย และเสรีภาพ ซึ่งเป็นแก่นแท้ของมหาวิทยาลัย
การออกแบบโลโก้โดยการนำ ลายเซ็นคุณหญิงนงเยาว์ ชัยเสรี มาผสานกับภาพองค์ประกอบของอาคารโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เป็นแนวคิดที่ทรงพลัง และสื่อความหมายถึงมรดก และการบริหารจัดการ ที่เป็นรากฐานของการพัฒนาธรรมศาสตร์ในยุคสำคัญ โลโก้ที่ได้จะสร้างความรู้สึกถึงความเป็นผู้นำ และความสง่างามไปพร้อมกัน
เราได้เตรียมทางเลือกการออกแบบที่หลากหลาย เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการเลือกรูปแบบที่เหมาะสมที่สุด โดยเน้นที่การจัดวาง (Layout) และการใช้โทนสีเหลือง-แดง อันเป็นเอกลักษณ์
แกนหลักของทุกทางเลือกคือการใช้เทคนิคการพาดเฉียง (Diagonal Overlay) ของลายเซ็น ซึ่งสื่อถึงพลังงาน ความเคลื่อนไหว และการตัดสินใจที่เด็ดขาดของผู้นำ ขณะที่อาคารโดมเป็นตัวแทนของความมั่นคง และประวัติศาสตร์
รูปแบบโลโก้ที่สรุปเลือกใช้ เป็นการยกระดับการออกแบบจากองค์ประกอบพื้นฐาน สู่การเป็น สัญลักษณ์เชิงโครงสร้าง (Structural Symbolism) และ การสื่อสารทางสถาปัตยกรรม (Architectural Communication) โดยเน้นการสร้างความสมดุลระหว่างความอ่อนช้อย และความยิ่งใหญ่
รูปแบบใหม่นี้ได้ผสานหลักการออกแบบเชิงสัญลักษณ์ที่แข็งแกร่งเข้ากับความเลื่อนไหลที่ทันสมัย:
เส้นโค้งเลื่อนไหลและการเชื่อมต่อ (Fluidity and Connection):
แกนหลัก: ยังคงรักษาแนวคิดของ เส้นสายที่เลื่อนไหล และเชื่อมต่อกัน ซึ่งสื่อถึง ความต่อเนื่อง ความก้าวหน้า และ ความกลมกลืนของโครงการ หรือสถาบัน
ผลกระทบ: ลักษณะนี้ช่วยให้โลโก้มีความรู้สึกเคลื่อนไหว (Dynamic) และเป็นมิตร (Approachable) โดยไม่สูญเสียความสง่างาม
กรอบวงกลม (The Circle Frame):
ความหมาย: กรอบวงกลมเป็นสัญลักษณ์สากลที่สื่อถึงความสมบูรณ์ ความเป็นนิรันดร์ (Eternity) และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Unity) การนำองค์ประกอบลายเซ็นและวาระสำคัญเข้าไว้ในกรอบวงกลมเป็นการ เน้นย้ำความสำคัญ และ สร้างขอบเขตที่มั่นคง ให้กับสัญลักษณ์
หลังคาโดม และธง (Dome and Flag):
สัญลักษณ์ทางสถาปัตยกรรม: การเพิ่ม หลังคาโดม เข้ามาในโลโก้มักสื่อถึง อาคารสำคัญ, ความยิ่งใหญ่ (Grandeur), ความเป็นศูนย์กลาง (Centrality) และความเป็นสถาบัน (Institution) โดมเป็นรูปทรงที่บ่งบอกถึงสถานที่ที่มีเกียรติหรือเป็นแหล่งรวมความรู้/บริการที่สำคัญ
การแสดงสัญชาติ/อัตลักษณ์: ธงที่ปรากฏบนโดมเป็นการตอกย้ำ อัตลักษณ์ สัญชาติ และ ความภาคภูมิใจ ซึ่งเป็นการผสานภาพลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมเข้ากับจิตวิญญาณของสถาบัน
รูปแบบโลโก้ที่มีองค์ประกอบเชิงโครงสร้างที่ชัดเจนนี้จะเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการนำไปใช้กับวัสดุที่เลือกไว้:
บนผนังหินแกรนิตแกะสลัก: รูปทรงโดมและกรอบวงกลมจะถูกแกะสลัก หรือฉลุบนหินแกรนิตได้อย่างสวยงาม และโดดเด่น ทำให้โลโก้มีมิติความเป็นอนุสาวรีย์ (Monumental) มากขึ้น
การสื่อความหมายเชิงลึก: เมื่อผู้ชมเห็นโลโก้ที่ผนัง จะไม่เพียงแค่รับรู้วาระ 90 ปี หรือลายเซ็นเท่านั้น แต่ยังรับรู้ถึง ความยิ่งใหญ่ และความเป็นศูนย์กลาง ที่ถูกสื่อสารผ่านสัญลักษณ์ของโดมอีกด้วย
การออกแบบนี้จึงเป็น โลโก้เชิงสัญลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งสามารถยืนหยัด และสื่อสารความหมายได้อย่างชัดเจนทั้งในงานกราฟิก และงานสถาปัตยกรรมในพื้นที่จริง
การเลือกวัสดุและเทคนิคสำหรับการติดตั้งโลโก้ และตัวอักษรบนผนังหินแกรนิตสีขาว เป็นการตัดสินใจเชิงเทคนิคที่ส่งผลต่อความทนทาน (Durability) รูปลักษณ์ (Aesthetics) และงบประมาณ (Cost) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภายนอกอาคาร (Outdoor Landscape)
นี่คือทางเลือกและข้อพิจารณาสำหรับวัสดุที่เสนอมา โดยเน้นการสร้างความตัดกันของสีดำบนพื้นผิวสีขาว และความเป็นโมเดิร์น
ตัวอักษรลอยตัวจะให้มิติความลึก (Depth) และเงาตกกระทบ (Shadow) ที่ชัดเจนบนผนังหินแกรนิต เหมาะสำหรับสไตล์โมเดิร์นที่ต้องการความโดดเด่น
การสลักตัวอักษรลงในเนื้อหินแกรนิตโดยตรงเป็นทางเลือกที่ถาวรและให้ความรู้สึกสง่างามแบบคลาสสิก แต่มีความโมเดิร์นอยู่ในตัว
เลเซอร์สลักเข้าไปในเนื้อหินแกรนิต (Laser Engraving)
ตัวเลือกพรีเมียมและยั่งยืน (Best Durability/Aesthetic):
ตัวอักษรอลูมิเนียม (หรือสเตนเลส) ทำสีดำ Powder Coating: ให้ความทนทานต่อสภาพอากาศสูงสุด สร้างเงา และมิติที่ชัดเจนบนผนังหินแกรนิต และให้รูปลักษณ์ที่โมเดิร์น หรูหรา สอดคล้องกับภาพรวมของโครงการ
ตัวเลือกความทนทานสูงสุด (Maximum Permanence):
เทคนิคสลักเลเซอร์ และอุดสีดำ (Engrave and Infill): เป็นการออกแบบที่ถาวรที่สุด และให้ความรู้สึกสง่างาม และกลมกลืนกับพื้นผิวหินแกรนิตมากที่สุด เหมาะสำหรับการสื่อสารอัตลักษณ์หลักของสถาบันที่ต้องการความมั่นคงและยั่งยืน
การออกแบบโลโก้ (Logo Design) ในรูปแบบนี้เป็นการผสานองค์ประกอบสำคัญหลายส่วนเข้าด้วยกันอย่างลงตัว เพื่อสร้างสรรค์สัญลักษณ์ที่สื่อถึง ความยั่งยืน (Longevity) ความสง่างาม (Elegance) และ อัตลักษณ์อันเป็นที่เคารพ (Respected Identity) ของโครงการ
หลักการออกแบบที่สำคัญที่สุดคือการสร้าง เส้นสายที่มีความสวยงามและเลื่อนไหล (Fluid and Beautiful Lines) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบเชิงศิลป์:
ความต่อเนื่องของภาพรวม (Overall Connection): เส้นสายทั้งหมดในโลโก้ถูกออกแบบให้ เชื่อมต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นส่วนของกราฟิก ตัวอักษร หรือลายเซ็น การเชื่อมต่อนี้สร้างความรู้สึกถึง ความกลมกลืน (Harmony) และ ความเป็นหนึ่งเดียว (Unity) ทำให้โลโก้ดูเป็นงานศิลปะชิ้นเดียวที่สมบูรณ์ ไม่ใช่เพียงการรวมองค์ประกอบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
การสื่อสารความรู้สึก: เส้นสายที่ไหลลื่นมักสื่อถึง ความก้าวหน้า (Progress) การเติบโต (Growth) และ การเชื่อมโยง (Connection) ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการสื่อสารเรื่องราวของสถาบัน หรือโครงการที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน
การจัดวางองค์ประกอบเฉพาะเป็นการตอกย้ำคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวาระสำคัญของโครงการ:
ลายเซ็นคุณหญิงนงเยาว์ ชัยเสรี: การนำ ลายเซ็น (Signature) ของคุณหญิงนงเยาว์ ชัยเสรี มาเป็น องค์ประกอบหลักของโลโก้ เป็นการยกย่อง และเชิดชู ผู้มีคุณูปการ (Patron/Benefactor) และเป็นการสลัก "อัตลักษณ์" (Identity) ที่แท้จริงลงในสัญลักษณ์ การใช้ลายเซ็นเพิ่มความสง่างามแบบส่วนบุคคล (Personalized Elegance) และความน่าเชื่อถือ (Authenticity) ให้กับโลโก้
ตัวอักษรไทย "๙๐ ปี": การวาง ตัวอักษรไทย "๙๐ ปี" ไว้ด้านบนลายเซ็น เป็นการสื่อสารวาระสำคัญ (Significant Anniversary) ด้วยตัวเลขไทยอย่างชัดเจน และทรงพลัง การจัดวางไว้ในตำแหน่งที่โดดเด่นทำให้โลโก้สามารถทำหน้าที่เป็นตราสัญลักษณ์เฉลิมฉลอง (Commemorative Emblem) ได้อย่างสมบูรณ์
โลโก้ที่ออกแบบตามหลักการนี้จะมีความโดดเด่น ดังนี้:
ความสมดุลระหว่างเก่า-ใหม่: มีการผสมผสานระหว่างองค์ประกอบดั้งเดิม (ลายเซ็น) กับการออกแบบเส้นสายที่ทันสมัย และเลื่อนไหล (Modern Fluidity)
ความทรงจำที่ยั่งยืน: ตัวโลโก้ทำหน้าที่เป็น เครื่องมือทางสถาปัตยกรรม (Architectural Tool) ที่สามารถแกะสลัก หรือประทับ ลงบนองค์ประกอบภูมิสถาปัตยกรรมอื่น ๆ ได้อย่างสวยงาม (เช่น ผนังหินแกรนิตแกะสลัก) เพื่อให้โลโก้เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่และอยู่คู่กับโครงการไปอีกยาวนาน
การเลือกใช้ ผนังหินแกรนิตสีขาว ที่มีการออกแบบให้เป็นกำแพงซ้อนเหลื่อมกัน 2 ชั้น เป็นเทคนิคทางภูมิสถาปัตยกรรมที่ชาญฉลาด เพื่อสร้างมิติความลึก (Visual Depth) และความน่าสนใจ (Interest) ให้กับฉากหลัง ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นสื่อสัญลักษณ์ (Symbolic Medium) สำหรับการนำเสนออัตลักษณ์ของโครงการ
การออกแบบกำแพงให้มีลักษณะเป็น 2 ชิ้นซ้อนเหลื่อมกัน โดยมีระยะด้านบนที่มีความสูงแตกต่างกันประมาณ 0.20 เมตร เป็นการสร้างความแตกต่างของระดับ (Level Variation) ที่ละเอียดอ่อน แต่ทรงพลังในทางสายตา:
มิติของเงา (Shadow Play): เมื่อกำแพงสองชิ้นเหลื่อมกัน จะเกิดเงาตกกระทบ (Cast Shadow) ที่ชัดเจนบริเวณรอยต่อ หรือด้านหลังของกำแพงที่สูงกว่า เงาเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงไปตามทิศทาง และความเข้มของแสงในแต่ละช่วงเวลาของวัน ทำให้ผนังดู มีชีวิตชีวา และ ไม่แบนราบ
การเน้นความสูง: ความแตกต่างของระดับความสูง 0.20 เมตร ช่วยเน้นให้เห็นถึง ขอบ (Edge) ของกำแพงแต่ละชิ้น และเพิ่มมิติของ โครงสร้างที่เป็นชั้น (Stratification) ซึ่งส่งผลให้กำแพงโดยรวมดูซับซ้อน และน่าสนใจมากขึ้น
การซ่อนองค์ประกอบแสง: พื้นที่ว่างที่เกิดจากการซ้อนเหลื่อมนี้ยังเป็นตำแหน่งที่สมบูรณ์แบบในการ ซ่อนไฟเส้น LED Strip Light (ตามที่กล่าวมาในส่วนก่อนหน้า) เพื่อใช้เทคนิคการส่องไล้ผนัง (Wall Washing) หรือ ส่องเน้นช่องว่าง (Accent Lighting) ในเวลากลางคืน ซึ่งจะยิ่งขับเน้นความแตกต่างของระดับและพื้นผิว
การเลือกใช้ หินแกรนิตสีขาว เป็นวัสดุหลักสำหรับผนังแกะสลักถือเป็นการตัดสินใจที่เน้นทั้งความงาม และฟังก์ชัน:
ความสง่างามและความทนทาน: หินแกรนิตเป็นวัสดุธรรมชาติที่มีความทนทานสูง ต่อสภาพอากาศภายนอก ทนต่อการขีดข่วน และการผุกร่อน สีขาวของหินให้ความรู้สึก สะอาด บริสุทธิ์ และสง่างาม เหมาะสมกับบริบทของสถาบัน เช่น โรงพยาบาล
การเน้นอัตลักษณ์ (Identity Focus): ตำแหน่งของการแกะสลักตัวอักษร (ด้วยฟอนต์ Kittithada Pro สีดำ) และโลโก้ไว้ด้านหลัง บริเวณมุม และผนังด้านหลังนั้น เป็นการใช้ประโยชน์จากผนังที่มีหลายระนาบ (Multiple Planes) ในการจัดวางข้อมูล:
การจัดวางเชิงกลยุทธ์: การวางโลโก้ และข้อความในตำแหน่งที่แตกต่างกันบนกำแพงที่ซ้อนเหลื่อมกันเป็นการนำสายตา (Visual Guidance) และสร้างจุดหยุดพักทางสายตา (Visual Anchor) ให้กับผู้ใช้งานที่เดินเข้ามาในพื้นที่
ความชัดเจน: สีดำของตัวอักษรที่ตัดกับความขาวของหินแกรนิต (ตามหลักการ High Contrast) ทำให้ข้อความที่แกะสลักมีความ ชัดเจนสูง (High Legibility) ในทุกสภาวะแสง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสื่อสารแบรนด์ในงานภูมิสถาปัตยกรรม
การออกแบบนี้จึงเป็นตัวอย่างของการนำ ความงามเชิงโครงสร้าง (Structural Aesthetics) มาผสมผสานกับฟังก์ชันการสื่อสาร (Communicative Function) ได้อย่างลงตัว.
การออกแบบผนังฉากหลังด้วยเทคนิคการแกะสลักตัวอักษรนี้ เป็นการใช้หลักการทางมานุษยวิทยาภูมิทัศน์ และ การออกแบบกราฟิกในพื้นที่ (Environmental Graphics) เพื่อสื่อสารข้อความอย่างมีสไตล์ และสอดคล้องกับอัตลักษณ์ของโครงการ
ฟอนต์ Kittithada Pro: การเลือกใช้ฟอนต์ Kittithada Pro ซึ่งเป็นฟอนต์ที่มีลักษณะโมเดิร์น (Modern) สะอาดตา และมีเส้นสายที่ชัดเจน เป็นการสร้างความกลมกลืน (Harmony) ให้กับงานออกแบบโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฟอนต์นี้ถูกเลือกให้ สอดคล้องกับอักษรของโลโก้ (Logo Font Match) ที่ใช้ในโครงการอยู่แล้ว
ผลลัพธ์: การผสานนี้ทำให้ทุกองค์ประกอบ ตั้งแต่ตัวอาคาร ภูมิทัศน์ ไปจนถึงป้ายบอกทาง มีภาษาภาพ (Visual Language) เดียวกันสร้างความรู้สึกถึง แบรนด์ดิ้งที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Cohesive Branding) และความประณีตในการออกแบบ
การเลือกเทคนิคและสีที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอ่าน และการสื่อสารในพื้นที่เปิด:
ความชัดเจนในการอ่าน (Legibility): การออกแบบโดยเน้นให้ข้อความ อ่านได้ชัดเจน และง่าย เป็นหัวใจสำคัญของป้ายในพื้นที่สาธารณะ การแกะสลักบนผนังเรียบช่วยให้ตัวอักษรมีมิติที่มองเห็นได้ชัดเจนทั้งกลางวันและกลางคืน (เมื่อมีแสงส่องไล้)
การตัดกันของสี (High Contrast): การใช้ ตัวอักษรสีดำ ตัดกับสีขาวของผนัง เป็นการใช้หลักการ Contrast ที่ให้ผลลัพธ์ในการสื่อสารที่ทรงพลังที่สุด (Maximum Readability) ความแตกต่างของสีที่สูงนี้ทำให้ข้อความโดดเด่นออกมาจากพื้นหลังอย่างชัดเจน แม้ในระยะไกลหรือในสภาวะแสงที่แตกต่างกัน
การแกะสลักตัวอักษร ไม่ได้เป็นเพียงการพิมพ์ข้อความ แต่เป็นการเพิ่มมิติให้กับผนัง:
การเพิ่มมิติของพื้นผิว (Tactile and Depth): การแกะสลัก (Engraving/Carving) ตัวอักษรลงบนผนัง ทำให้เกิดมิติความลึก (Depth) และเงา (Shadow) บนพื้นผิว เมื่อแสงอาทิตย์หรือไฟส่องไล้ (Wall Washing Light) ตกกระทบ ตัวอักษรที่แกะสลักจะสร้างเงาที่เปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาของวัน ทำให้ผนังมีชีวิตชีวา และมีความน่าสนใจทางสุนทรียภาพมากขึ้น
การยกระดับผนัง: เทคนิคนี้เปลี่ยนผนังฉาบเรียบให้กลายเป็นงานศิลปะบอกเล่า (Narrative Artwork) ที่เป็นส่วนหนึ่งของสถาปัตยกรรม ทำให้กำแพงฉากหลัง (Feature Wall) ไม่เพียงแต่เป็นฉากกั้น แต่เป็น องค์ประกอบสื่อสารหลัก (Primary Communicative Element) ในภูมิทัศน์
การใช้วัสดุปูพื้นรุ่น เวนโทลา (Ventola) บนโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก (RC Structure) เป็นการผสมผสานความทนทานของโครงสร้างเข้ากับความสวยงาม และคุณสมบัติป้องกันความเสี่ยง (Risk Management) ของผิวสัมผัส ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับพื้นที่ภายนอกที่มีการสัญจรสูง โดยเฉพาะบริเวณที่อาจเปียกน้ำ
การปูพื้นผิวที่ได้ผลลัพธ์ดี และยั่งยืน เริ่มต้นจากการเตรียมโครงสร้างที่มั่นคง:
โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก (RC Slab): โครงสร้างนี้ให้ความแข็งแรง และอายุการใช้งานที่ยาวนาน เป็นฐานที่มั่นคงสำหรับรองรับการใช้งานหนักในพื้นที่สาธารณะ
การปรับระดับด้วยปูน (Screeding): การใช้ปูนปรับระดับ (Leveling Mortar) เป็นขั้นตอนสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าพื้นผิวคอนกรีตมีระนาบที่ได้มาตรฐาน (Perfectly Level) ก่อนการติดตั้งวัสดุปูพื้น ซึ่งจะช่วยให้การติดตั้งวัสดุเวนโทลาเป็นไปอย่างราบรื่น และป้องกันการเกิดแอ่งน้ำ (Ponding) เมื่อฝนตกหรือพื้นเปียก
วัสดุปูพื้นรุ่นเวนโทลาถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทั้งด้านสุนทรียภาพ และความปลอดภัยในพื้นที่ภูมิทัศน์:
ผิวสัมผัสขรุขระ (Textured Surface): ลักษณะผิวที่คล้ายกรวดล้างหรือทรายล้าง ให้มิติของผิวสัมผัสที่น่าสนใจ (Tactile Experience) และมีความสวยงามแบบธรรมชาติ
คุณสมบัติป้องกันการลื่น (Anti-Slip Feature): จุดเด่นที่สำคัญที่สุดคือ ผิวที่ไม่ลื่นเมื่อเปียกน้ำ (Non-Slip/Skid Resistant) ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำคัญสำหรับทางเดินเท้า ลานกิจกรรม หรือพื้นที่รอบสระน้ำในงานภูมิสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะในบริบทของโรงพยาบาล หรือพื้นที่สาธารณะที่ต้องการมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด
ความต่อเนื่องของพื้นที่ (Seamless Application): ความสามารถในการปูให้ต่อเนื่องกันไปในพื้นที่ได้ (Continuous Paving) ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นผืนเดียว (Visual Unity) โดยไม่มีรอยต่อที่ชัดเจน หรือการสะดุดของการปูเหมือนกระเบื้องขนาดเล็ก ซึ่งช่วยเสริมความกว้างขวาง และความเรียบร้อยของภูมิทัศน์โดยรวม
การเลือกใช้ วัสดุปูพื้นเวนโทลาบนพื้นคอนกรีตเสริมเหล็ก จึงเป็นแนวทางการออกแบบที่เน้นความสมดุลระหว่างความทนทาน ความปลอดภัย และความงาม:
ความทนทานสูง: สามารถรับน้ำหนักและทนทานต่อการสัญจรหนาแน่นได้ดี
ความปลอดภัยสูงสุด: ลดความเสี่ยงในการลื่นล้ม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในงานออกแบบเพื่อการเข้าถึงอย่างทั่วถึง (Universal Access)
สุนทรียภาพ: สร้างผิวสัมผัสที่กลมกลืนกับองค์ประกอบธรรมชาติอื่น ๆ เช่น ดิน หิน และพืชพรรณ ในภูมิทัศน์ได้อย่างลงตัว
การออกแบบ ฐานประติมากรรมรูปนั่งนี้ เป็นการประยุกต์ใช้หลักการทางภูมิสถาปัตยกรรม เพื่อเสริมมิติทางสายตา และยกระดับความสำคัญของงานศิลปะกลางแจ้ง โดยมีรายละเอียด และแนวคิดดังนี้
การเลือกใช้วัสดุ และผิวสัมผัสเป็นหัวใจสำคัญในการออกแบบภูมิสถาปัตยกรรม เนื่องจากต้องคำนึงถึงความทนทานต่อสภาพแวดล้อมภายนอก (Durability) และความสวยงาม (Aesthetics) ที่สอดคล้องกับภาพรวมของภูมิทัศน์
คอนกรีตหล่อ เป็นวัสดุหลักที่ให้ความแข็งแรงและยั่งยืน (Sustainability) เหมาะสำหรับโครงสร้างภายนอกที่ต้องรองรับน้ำหนักและทนต่อทุกสภาพอากาศ
ผิว "Marble Washed" (หรือที่เรียกว่า Faux Marble Concrete Finish หรือ Polished Concrete Finish ในรูปแบบที่เผยให้เห็นลายหินอ่อน) สีเทาอ่อนหรือสีขาว เป็นการสร้างสรรค์ผิวสัมผัสที่เลียนแบบความหรูหราของหินอ่อน แต่มาพร้อมกับคุณสมบัติเด่นของคอนกรีต คือ ความทนทานสูง บำรุงรักษาง่าย และ ราคาประหยัดกว่าหินอ่อนจริง การเลือกโทนสีอ่อนนี้ยังช่วยขับเน้นประติมากรรมรูปนั่งให้โดดเด่นขึ้นมา โดยไม่แย่งความสนใจจากตัวงานศิลปะหลัก
เทคนิคผิวสัมผัส: ผิวแบบ Marble Washed มักทำโดยการผสมผงสี (Pigmented Powders) หรือการใช้เทคนิค Acid Staining/Epoxy Coating บนผิวคอนกรีต เพื่อสร้างลวดลายคล้ายเส้นแร่หินอ่อน (Veining) ทำให้เกิดมิติของสีและพื้นผิวที่น่าสนใจ
การออกแบบฐานไม่ได้เป็นเพียงแท่นรองรับ แต่เป็นองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่กำหนดประสบการณ์ของผู้ใช้งาน และทิศทางสายตาในภูมิทัศน์
รูปทรงโค้ง (Curved Form): รูปทรงโค้งมนให้ความรู้สึกอ่อนโยน (Softness) และต่อเนื่อง (Continuity) ลดความแข็งกระด้างของรูปทรงเรขาคณิตทั่วไปในงานคอนกรีต ช่วยให้ฐานประติมากรรมดูเป็นส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์โดยรอบที่มักมีเส้นสายที่เป็นธรรมชาติ
ระดับแท่นบันได (Tiered Levels): การทำฐานเป็นระดับชั้นคล้ายแท่นบันไดช่วย ยกระดับความสูง (Elevation) ของประติมากรรมอย่างเป็นลำดับขั้น ทำให้ประติมากรรมดูสง่างาม และมีเกียรติ (Monumental) มากขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เป็น พื้นที่นั่งเล่น (Seating Area) หรือ ขอบเขตพื้นที่ (Boundary) ที่เชิญชวนให้ผู้คนเข้าใกล้เพื่อสัมผัส และชื่นชมงานศิลปะ
เส้นสายเฉียงสอบเข้า (Sloping/Tapering Lines): การออกแบบฐานให้มีเส้นสายที่เฉียงสอบเข้า (Tapering) ช่วยสร้าง มิติความลึก (Depth) และความพุ่งทะยาน (Ascension) ในทางสายตา ทำให้ฐานดูไม่ทึบตัน และหนักจนเกินไป แต่กลับดูเบา (Lightness) และสูงขึ้น (Heightened) ราวกับเป็นการนำสายตาผู้ชมให้พุ่งขึ้นสู่ตัวประติมากรรมที่ประดิษฐานอยู่ด้านบน
การออกแบบฐานประติมากรรมรูปนั่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดสำคัญในงานภูมิสถาปัตยกรรมที่ว่า "องค์ประกอบทุกส่วนต้องทำงานร่วมกัน" (Holistic Design) ฐานไม่ได้เป็นเพียงส่วนรองรับ แต่ทำหน้าที่เป็น องค์ประกอบเปลี่ยนผ่าน (Transitional Element) ที่เชื่อมโยงระหว่างตัวประติมากรรม (งานศิลปะ) กับพื้นผิวภูมิทัศน์โดยรอบ (สภาพแวดล้อม)
ด้วยการผสมผสานวัสดุที่ทนทานอย่างคอนกรีตเข้ากับผิวสัมผัสที่สวยงามแบบ Marble Washed และการใช้รูปทรงโค้งพร้อมเส้นสายเฉียงเพื่อเพิ่มมิติ ฐานประติมากรรมนี้จึงช่วย เสริมสร้างภาพลักษณ์ (Enhance Image) ให้แก่พื้นที่ และสร้าง ประสบการณ์ทางสุนทรียภาพ (Aesthetic Experience) ที่โดดเด่นให้กับผู้ชมอย่างแท้จริง
การออกแบบ กำแพงฉากหลัง (Feature Wall) นี้เป็นการบูรณาการหลักการทางสถาปัตยกรรมและภูมิสถาปัตยกรรมเพื่อสร้าง จุดสนใจทางสายตา (Focal Point) และ ฉากหลังที่ทรงพลัง ให้กับพื้นที่ภูมิทัศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำไปติดตั้งหลังประติมากรรมหรือบริเวณสำคัญ
ความมั่นคงแข็งแรงและอายุการใช้งานที่ยาวนานคือหัวใจสำคัญของงานก่อสร้างภายนอกอาคาร
โครงสร้างหลัก: การเลือกใช้ กำแพงก่ออิฐมอญฉาบปูน ที่มีการเสริม เสาเอ็นและคานเอ็น ในทุกระยะ 2.00 เมตร เป็นไปตาม มาตรฐานงานก่อสร้าง เพื่อป้องกันการแตกร้าวและการล้มของผนัง (Structural Integrity)
มิติของกำแพง: กำแพงที่มีความสูงระหว่าง 2.00−2.50 เมตร และความยาว 2.00−4.00 เมตร จัดเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมในการทำหน้าที่เป็น ฉากกั้น (Screen) หรือ ฉากหลัง (Backdrop) ที่ให้ความรู้สึกมั่นคง (Solid) แต่ไม่ทึบตันจนเกินไป
การเลือกวัสดุปิดผิวและแสงสว่างเป็นการกำหนดบุคลิก (Character) และมิติ (Texture) ของฉากหลัง
หินแกรนิตสีอ่อน: การเลือกใช้ หินแกรนิตสีเทาอ่อนหรือสีขาว ขนาดแผ่น 0.30×0.60 เมตร ติดตั้งด้วยปูนกาวซีเมนต์ ให้ผลลัพธ์ที่ หรูหรา ทนทาน และ ดูแลรักษาง่าย หินแกรนิตมีคุณสมบัติเด่นในการต้านทานต่อการผุกร่อนและรอยขีดข่วน เหมาะสำหรับพื้นที่ภายนอก
การป้องกันน้ำซึม: การ ทาน้ำยากันซึม ก่อนการติดตั้งเป็นขั้นตอนสำคัญ เพื่อป้องกันความชื้นและตะไคร่น้ำ ซึ่งจะช่วยรักษาความสวยงามของสีหินแกรนิตให้ยาวนานขึ้น
ผนังด้านหลังและมิติความลึก:
ผนังฉาบเรียบทาสีดำหรือสีขาว ในส่วนที่กำแพงซ้อนกัน (เช่น กำแพงหลักและกำแพงรอง/เสา) จะสร้าง ความแตกต่างของพื้นผิว (Contrast) และ มิติความลึก (Visual Depth)
การใช้ สีดำ จะทำให้พื้นที่ด้านหลังดูมืดและถอยออกไป เพิ่มความลึกลับและเน้นความโดดเด่นของกำแพงหินด้านหน้า
การใช้ สีขาว จะให้ความรู้สึกสะอาดตาและทันสมัย (Contemporary)
แสงส่องไล้ (Wall Washing Light): การซ่อน ไฟเส้น LED Strip Light บริเวณรอยต่อของกำแพงที่ซ้อนกัน เป็นเทคนิคการให้แสงที่เรียกว่า "Wall Graze" หรือ "Wall Wash" ในเวลากลางคืน แสงจะส่องเน้นพื้นผิวและลวดลายของหินแกรนิต สร้าง มิติและเงา (Shadow Play) ที่สวยงาม ทำให้กำแพงดูมีชีวิตชีวาและเปลี่ยนสภาพพื้นที่ในยามค่ำคืน
การออกแบบกำแพงฉากหลังนี้มีความหมายมากกว่าการก่อสร้างทั่วไป แต่เป็น องค์ประกอบภูมิทัศน์ที่มีฟังก์ชันเชิงศิลปะ (Artistic Landscape Element) โดย:
กำหนดขอบเขต: ทำหน้าที่เป็นฉากกั้นสายตาหรือกำหนดขอบเขตของพื้นที่
ขับเน้นจุดสนใจ: เป็นพื้นหลังที่สง่างามสำหรับงานประติมากรรมหรือพรรณไม้ (Planting Design) ที่อยู่ด้านหน้า
สร้างบรรยากาศ: ด้วยการจัดแสงไฟยามค่ำคืน สร้างมิติที่น่าดึงดูดและปรับเปลี่ยนการรับรู้ของพื้นที่ภายนอกอาคารให้มีเสน่ห์มากขึ้น
การออกแบบบันไดทั้งสองส่วนนี้แสดงถึงความเข้าใจในการใช้ องค์ประกอบเปลี่ยนผ่าน (Transitional Elements) ในงานภูมิสถาปัตยกรรม โดยคำนึงถึง การใช้งาน (Functionality) ความปลอดภัย (Safety) และ สุนทรียภาพ (Aesthetics) ที่สอดคล้องกับบริบทของโรงพยาบาล ซึ่งต้องการการเข้าถึงที่สะดวกสบายและเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานทุกกลุ่ม
ระยะลูกตั้งที่สม่ำเสมอ (15 เซนติเมตร): การกำหนดระยะ ลูกตั้ง (Riser) ที่ 15 เซนติเมตร ถือเป็นมาตรฐานที่ให้ความรู้สึก สบายและมั่นคง ในการก้าวเดิน (Ergonomics) โดยเฉพาะในพื้นที่สาธารณะหรือโรงพยาบาล การมีระยะลูกตั้งที่เท่ากันตลอดทั้งสองจุดยังช่วยให้ผู้ใช้งาน จดจำจังหวะการก้าว ได้ง่าย ลดโอกาสในการสะดุดหรือพลัดตก
การเชื่อมต่อที่ต่อเนื่อง: การออกแบบให้ พื้นลานระดับบน มีระดับเท่ากับ พื้นทางเดินเท้ามีหลังคาคลุม เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้เกิด การไหลเวียนที่ต่อเนื่อง (Seamless Flow) ระหว่างอาคารหลักกับพื้นที่ภูมิทัศน์ใหม่ ทำให้พื้นที่ดูกว้างและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Visual Cohesion)
บันไดส่วนนี้ทำหน้าที่เชื่อมต่อ แกนหลัก (Main Axis) ของอาคารกับลานกิจกรรมด้านล่าง จึงเน้นการออกแบบที่ตรงไปตรงมาและมีประสิทธิภาพ
รูปทรงสี่เหลี่ยมตรง (Straight Form): บันไดตรงให้ ทิศทางที่ชัดเจนและรวดเร็ว (Efficiency) เหมาะสำหรับการสัญจรที่มีผู้คนจำนวนมากหรือต้องการความเร่งรีบในการเข้าถึง
วัสดุและลวดลาย (Pattern & Contrast): การใช้ แผ่นคอนกรีตบล็อคปูสลับสีเทาเข้มและเทาอ่อน ไม่เพียงแต่สร้างความสวยงามเชิง จังหวะและลวดลาย (Rhythm and Pattern) เท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่ม การรับรู้ขอบเขต (Perceived Boundary) ของขั้นบันได ทำให้มองเห็นความแตกต่างของพื้นผิวได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นการเสริมความปลอดภัยทางสายตา
ขอบ Marble Washed: การใช้ ขอบ (Border) เป็นวัสดุ Marble Washed สีเทาอ่อนแบบเดียวกับกระบะ (Planter) เป็นการสร้าง ความต่อเนื่องของวัสดุ (Material Continuity) ทั่วทั้งโครงการ ทำให้องค์ประกอบทั้งหมดมีความเป็นเอกภาพในด้านการเลือกใช้สีและผิวสัมผัส
บันไดส่วนนี้เชื่อมต่อระหว่างลานกิจกรรมระดับล่างและบน โดยเน้นที่การไหลเวียนที่ผ่อนคลายและรูปลักษณ์ที่กลมกลืน
รูปทรงโค้ง (Curved Form): รูปทรงโค้งเป็นทางเลือกที่โดดเด่นในงานภูมิสถาปัตยกรรม เพราะช่วย ลดความแข็งกระด้าง และ สร้างการไหลของพื้นที่ (Spatial Flow) ให้เข้ากับแนวของกระบะต้นไม้และรูปร่างของลานได้อย่างลงตัว
วัสดุ Marble Washed: การเลือกใช้วัสดุ Marble Washed สำหรับบันไดโค้งนั้นเหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจาก คอนกรีตหล่อ มีความยืดหยุ่นในการขึ้นรูป (Moulding) ทำให้สามารถ ก่อสร้างรูปทรงโค้งได้ง่าย และแม่นยำกว่าการใช้แผ่นหินตัดสำเร็จรูป
ระยะลูกนอนกว้าง (0.40 เมตร): การออกแบบ ลูกนอน (Tread) ที่กว้างเป็นพิเศษ (40 ซม.) มีประโยชน์หลายประการ:
การพักเท้า: ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถหยุดพักหรือเปลี่ยนทิศทางได้สะดวกขึ้น
การใช้งานอเนกประสงค์: สามารถทำหน้าที่เป็น ที่นั่งพักชั่วคราว (Casual Seating) ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ผสมผสานฟังก์ชันการเป็นบันไดเข้ากับการเป็นส่วนหนึ่งของลาน
จังหวะที่ผ่อนคลาย: ส่งเสริมให้ผู้ใช้งานเดินขึ้นลงด้วยจังหวะที่ช้าลงและผ่อนคลาย (Leisurely Pace) เหมาะกับลานที่เน้นการพักผ่อน
การติดตั้งไฟ Step Light: การติดตั้ง ไฟ Step Light บนบันไดทั้งสองส่วน เป็นการผสมผสาน ความปลอดภัยยามค่ำคืน (Nighttime Safety) เข้ากับ การออกแบบแสง (Lighting Design) โดยแสงสว่างที่ส่องเฉพาะจุดไปยังลูกนอนแต่ละขั้นจะช่วย ลดอุบัติเหตุจากการก้าวพลาด (Trip Hazards) และเพิ่มความสวยงามเชิงมิติให้กับบันไดในเวลากลางคืน